เรื่องสั้นแม้จะถูกแต่งให้จบแบบรวดเร็วเพื่อให้ได้ใจความสำคัญ แต่ก็มีหลายเรื่องที่ทรงคุณค่าต่อการอ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะกับเรื่องสั้น “อย่าหนีนะ! ไอ้เด็กขี้ขโมย” นับเป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่ผู้เรียนและคนอื่น ๆ ควรจะมีโอกาสได้อ่านและนำคุณธรรมของตัวละครไปใช้กับชีวิตประจำวันซึ่งในปัจจุบันจิตใจคนเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว หากคุณได้มีโอกาสอ่านเรื่องสั้น “อย่าหนีนะ! ไอ้เด็กขี้ขโมย” บางทีมุมมองของคุณที่มีต่อโลกใบนี้อาจจะเปลี่ยนไปเลยก็เป็นได้ เราอยากให้คุณได้มาอ่านจริง ๆ
เนื้อหาของเรื่องสั้น “อย่าหนีนะ! ไอ้เด็กขี้ขโมย”
เรื่องสั้น “อย่าหนีนะ! ไอ้เด็กขี้ขโมย” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กขี้ขโมยคนหนึ่งซึ่งได้ไปขโมยยาจากร้านจนถูกไล่ตามในตลาดจนเจอกับผู้หญิงที่มากับลูกและเกิดความสงสารได้โชคชะตาของเด็กขี้ขโมยซึ่งแม่ตัวเองป่วย ไม่มีเงินรักษาจึงได้จ่ายค่ายาแก้ปวด ยาธาตุ และส้มหนึ่งถุงเพื่อการดำรงชีวิต เด็กขี้ขโมยได้ขอบคุณและจากไป
จนหลายสิบปีต่อมา หญิงคนนั้นได้เป็นเนื้องอกในสมองต้องเข้ารับการผ่าตัดเพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้เนื้องอกเกิดการทับเส้นประสาทจนเป็นอัมพาตได้ ลูกสาวจึงได้ตัดสินใจพาแม่ตัวเองเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงด้านนี้ท่ามกลางความกังวลเพราะลำพังแค่รายได้จากค่าเย็บผ้าและเงินตัวเองที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ไม่อาจเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูงเป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท แม้ว่าคุณหมอจะได้ทำการผ่าตัดจนแม่ของเธอปลอดภัยแล้วก็ตาม
หลังจากให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนในโรงพยาบาล คุณหมอก็บอกให้แม่เธอสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ ทางโรงพยาบาลได้แจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ลูกสาว ปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท ซึ่งเป็นส่วนของค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น ด้วยความแปลกใจมาก เธอจึงได้สอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับเธอและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ เธอจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากผ่าตัดเสร็จ คุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ทั้งสองโดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ลูกสาวพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
เมื่อกลับถึงบ้าน ลูกสาวกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น ซึ่งเมื่ออ่านจบทั้งคู่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกับเนื้อความในจดหมายมี ดังนี้
ข้าพเจ้า นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมด ดังนี้
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร
ตัวตนจริงของเด็กในเรื่องสั้น “อย่าหนีนะ! ไอ้เด็กขี้ขโมย”
เรื่องสั้น “อย่าหนีนะ! ไอ้เด็กขี้ขโมย” เป็นเรื่องจริงของนายแพทย์เดชา ทองวิจิตรซึ่งเป็นหมอผ่าตัดผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งเขาเคยเล่าชีวิตอันยากลำบากกว่าจะได้เรียนแพทย์และมีหน้าที่การงานเป็นของตัวเองในวัยเด็กผ่านฟอร์เวิร์ดเมลล์จนกลายเป็นที่โด่งดังและถูกนำมาใช้ในการสอนเด็กมากมาย ถือเป็นหนึ่งในบุคคลแบบอย่างของเมืองไทย แม้ว่าท่านจะไม่ชอบออกสื่อหรือเปิดเผยตัวตนนัก
ข้อคิดจากเรื่องสั้น “อย่าหนีนะ! ไอ้เด็กขี้ขโมย”
เรื่องสั้น “อย่าหนีนะ! ไอ้เด็กขี้ขโมย” ได้สอนให้เรารู้จักความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ แม้ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม แต่การที่ได้ตอบแทนพระคุณก็ถือเป็นสิ่งมีค่าต่อการเกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่งสักครั้งเลยก็ว่าได้ หากเราได้รับพระคุณจากใครคนหนึ่งแต่กลับเป็นผู้รับอย่างเดียวก็ไม่ต่างกับการรับแบบไร้จิตใจ และเรื่องนี้ยังสอนถึงทางเลือกของคนในสังคมที่ทางเลือกย่อมมีทุกคน เพียงแต่เขาจะรู้จักหาทางเลือกที่เหมาะกับตัวเองอย่างไรจึงจะเกิดคุณค่าต่อตัวเองและสังคมได้
รูปภาพประกอบ : Pixabay
#แนะนำเรื่องสั้น #เรื่องสั้น “อย่าหนีนะ! ไอ้เด็กขี้ขโมย” #เรื่องสั้นแนะนำ